การอ่านงานวิจัยหรือบทความทางวิชาการ เป็นกิจกรรมอย่างหนึ่งในกระบวนการค้นคว้าวิจัย ที่จำเป็นต้องใช้เวลาและสมาธิเป็นอย่างมาก
ในบทความที่ชื่อว่า “how to read a paper” ได้นำเสนอวิธีการที่น่าสนใจ สำหรับคนที่มีความจำเป็นต้องอ่าน paper เป็นจำนวนมาก
แนวทางการอ่าน 3 รอบ
แนวคิดหลักของบทความดังกล่าวคือใช้แนวทางในการอ่านไม่เกิน 3 รอบ โดยที่แต่ละรอบมีแนวทางและเป้าหมายที่ชัดเจน แทนที่จะอ่านไปเรื่อยๆ ตั้งแต่ต้นจนจบ
รอบแรก Quick Scan
รอบแรกเป็นการอ่านเร็วๆ อย่างที่เรียกว่า quick scan เพื่อทำความเข้าใจในภาพกว้างของงานวิจัยนั้น รอบนี้จะเป็นตัวตัดสินด้วยว่า จำเป็นต้องอ่านในรอบต่อๆ ไปอีกหรือไม่ โดยมีจุดที่ต้องอ่านดังนี้
- อ่านชื่อบทความ บทคัดย่อ และบทนำ อย่างระมัดระวัง
- อ่านเฉพาะ “หัวข้อ” และ “หัวข้อย่อย” แต่ละส่วน โดยไม่ต้องอ่านเนื้อหา
- อ่านบทสรุปของงานวิจัย
- สำรวจบรรณานุกรมหรือ reference เพื่อหาว่ามีการอ้างอิงงานวิจัยชิ้นอื่นที่เราเคยอ่านมาหรือไม่
รอบแรกนี้อาจจะใช้เวลาสั้นๆ แค่ 5-10 นาทีเท่านั้น แต่เมื่อเสร็จสิ้นการอ่านรอบแรกแล้ว ผู้อ่านควรจะสามารถตอบคำถาม 5 ประเด็นดังนี้ได้
- Category: บทความนี้จัดอยู่ในประเภทไหน เป็นการทดลองใหม่ หรือ เป็นการรีวิวงานวิจัยอื่น
- Context: บริบทของบทความคืออะไร มีงานวิจัยอื่นที่เกี่ยวข้องอย่างไรบ้าง แนวคิดหรือทฤษฎีพื้นฐานของงานวิจัยคืออะไร
- Correctness: สมมติฐานของงานวิจัยน่าเชื่อถือหรือไม่
- Contributions: งานวิจัยชิ้นนี้จะส่งผลให้เกิด contribution อะไรบ้าง
- Clarity: งานวิจัยนี้เขียนได้ชัดเจน กระจ่างหรือไม่
เมื่อตอบคำถาม 5 Cs ได้แล้ว เราก็จะสามารถตัดสินใจได้ว่า ควรใช้เวลาอ่านในรอบต่อๆ ไปหรือไม่ ซึ่งหากเราตัดสินใจจะไม่อ่านต่อในรอบต่อๆ ไป ไม่ว่าจะเพราะว่าหัวข้อนั้นเราไม่สนใจ หรือเรายังมีความรู้แวดล้อมไม่เพียงพอ หรือผู้เขียนงานวิจัยตั้งสมมติฐานไม่เหมาะสม เราก็จะเสียเวลากับงานวิจัยชั้นนั้นเพียงแค่ 5-10 นาทีในรอบ quick scan เท่านั้น
รอบที่สอง อ่านทำความเข้าใจประเด็นหลัก
ในการอ่านรอบที่สองนี้ ให้อ่านเพื่อทำความเข้าใจกับเนื้อหาหลักของงานวิจัย อ่านด้วยความระมัดระวังมากขึ้น แต่ให้ข้ามรายละเอียดอย่างเช่นการพิสูจน์ต่างๆ โดยอาจจะจดประเด็นหลักๆ หรือหมายเหตุไว้ด้วยในขณะที่อ่าน ซึ่งอาจจะเป็นศัพท์ที่ไม่เข้าใจ หรือประเด็นคำถามที่อาจผุดขึ้นมา
- ให้ใส่ใจเป็นพิเศษกับรูปภาพ กราฟ แผนภาพ และตารางต่างๆ ซึ่งจะเป็นตัวชี้ที่ทำคัญบ่งบอกถึงคุณภาพของงานวิจัยชิ้นนั้นๆ
- ให้จดหรือตั้งข้อสังเกตถึงบรรณานุกรมที่เกี่ยวข้อง ที่เรายังไม่เคยได้อ่าน ซึ่งจะเป็นวิธีที่ดีมากในการทำความเข้าใจ background และที่มาของงานวิจัยนั้น
การอ่านรอบที่สองนี้อาจจะต้องใช้เวลาเป็นชั่วโมง แต่เมื่อจบรอบที่สองนี้แล้ว เราควรจะสามารถอธิบายสรุปเนื้อหาและประเด็นที่สำคัญของงานวิจัยนี้ได้ ซึ่งการอ่านรอบนี้น่าจะเพียงพอสำหรับหัวข้องานวิจัยที่คุณกำลังให้ความสนใจอยู่ แต่อาจจะไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งในหัวข้อวิจัยของคุณ
แต่หากงานวิจัยชิ้นนั้นอาจมีส่วนในหัวข้อวิจัยของคุณ หรือคุณมีบทบาทเป็นผู้รีวิว คุณสามารถอ่านต่อในรอบที่ 3 ได้
รอบที่สาม อ่านเพื่อจำลองการวิจัย
เป้าประสงค์หลักของการอ่านงานวิจัยในรอบที่สามคือ เพื่อ “จำลองการทำวิจัยนั้นๆ” นั่นคือตั้งสมมติฐานเหมือนกับผู้เขียน แล้วสร้างงานวิจัยนั้นขึ้นมาอีกครั้ง
เมื่อทำการเปรียบเทียบเนื้อหาในงานวิจัยที่อ่าน กับงานจำลองที่คุณสร้างขึ้นมา จะช่วยให้มองเห็นจุดที่เป็นจุดสำคัญอาทิเช่น จุดที่เป็นนวัตกรรมใหม่ หรือข้อผิดพลาดและสมมติฐานอื่นๆ ที่ไม่ได้กล่าวถึงในบทความ
การอ่านรอบที่สามนี้จำเป็นต้องใช้เวลาและให้ความสำคัญกับรายละเอียดต่างๆ ทุกสมมติฐาน ทุกการคำนวณ ซึ่งอาจจะใช้เวลามากถึง 4-5 ชั่วโมง แต่เมื่อจบในรอบที่สามนี้แล้ว คุณจะสามารถเรียบเรียงโครงงสร้างงานวิจัยใหม่นี้ได้จากความจำ สามารถระบุจุดอ่อนจุดแข็งในงานวิจัยนั้นได้ รวมถึงสามารถคาดการณ์ปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นได้จากการทดลองหรือการวิเคราะห์ข้อมูล